"นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส"
"ขอนอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น"
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ - ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ - ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ - ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก
"========================="
"อสุภกรรมฐาน"
เป็นกัมฐานหนึ่ง ในการดับราคจริต ผู้มีราคะเป็นความประพฤติปกติ ... จิตใจท่านก็จะคลายความกำหนัดยินดีในกามารมณ์ลงได้อย่างไม่ลำบากยากเย็น(พิจารณาเนือง ๆ ครับ)
สภาพธรรมที่ปรากฏ (ตามวีดีทัศน์ -- > อสุภกรรมฐาน)
รูปารมณ์ที่ปรากฎ
ต้องนำมาละคลาย หาความเป็นสัตว์ เป็นตัวตน เป็นบุคคลไม่ได้
เป็นการนำโยนิโสมนัสิการมาใช้
|
การเจริญอสุภกรรมฐาน ไม่ใช่ให้ภาวนา หรือไปนั่งจ้องยืนจ้องซากศพ
แต่ท่านให้ใช้ความจำภาพซากศพที่เห็นแล้วใคร่ควรพินิจพิเคราะห์ดูว่าตัวเราที่ยังหายใจอยู่ พูดได้อยู่
มันก็ไม่แตกต่างอะไรกับซากศพที่ตายแล้ว เพราะร่างกายเราก็เหม็นเน่าทุกวันต้องชำระล้างอาบน้ำ
ล้างหน้า แปรงฟัน ล้างเอาความเน่าเหม็นออกต้องสระผมทุกวันถ้าไม่สระหัวก็เหม็น
ให้จิตใจรู้ตลอดเวลาว่าร่างกายเราเขาไม่มีใครสะอาดเหม็นกันหมดทั้งโลก คนกับสัตว์ไม่แตกต่างกัน
เหม็นเน่าเหม็นคาวเหมือนกัน เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกันคิดไว้อย่างนี้ตลอดเวลาท่านเรียกว่าจิตทรงฌาน ในอสุภกรรมฐาน ใครเจ็บป่วยไข้ก็รักษาพยาบาลเป็นการระงับทุกขเวทนา คิดไว้เสมอว่าเราเขาคือซากศพ ต่างก็สกปรกเช่นกันจะไปหลงรักผูกพันกันอะไรกันนักกันหนา จิตเลิกผูกพันตัวเราเขาจิตก็เบาสบาย ความหนักใจก็ไม่มี ใครจะตายก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าทุกคนเป็นศพที่พูดได้ เดินได้พอจิตออกจากร่างกายเราเรียกว่า ศพที่ตายแล้ว
ขณะที่ 1 - เมื่อจักขุประสาท(รูป) กระทบรูป
|
เมื่อจักขุประสาท(รูป) กระทบรูปที่เห็นซึ่งมีสีแดง และสีส้ม และสีอื่น ๆและรูปพรรณสันฐานที่ได้
เห็น(ตามวีดีทัศน์)
(จักขุปสาท มีวจนัตถะว่า จกฺขุวิญญาณธิฏฺฐิตํ หุตฺวา
สมวิสมํ จกฺขติ อาจิกฺขนฺตํ วิย โหตีติ = จกฺขุ รูปใดเป็นที่ตั้งแห่งจักขุวิญญาณ)
ภวังคจิตคั่น
ภวังคจิต (life-continuum) สามารถเปรียบเทียบได้กับจิตไร้สำนึก (the unconscious) ตามแนวคิดของ Freud และจิตไร้สำนึกรวม (the collective unconscious)
ตามทรรศนะของ Jung เพียงแต่ว่าภวังคจิตในพุทธศาสนามีขอบเขตกว้างขวางและลึกซึ้งกว่าในจิตวิทยาสมัยใหม่มาก อกุศลมูล (unwholesome roots)
ซึ่งได้แก่ ความโลภ ความโกรธ และความหลง รวมทั้งกุศลมูล (wholesome roots) ซึ่งได้แก่ความไม่โลภ (อโลภะ) ความไม่โกรธ (อโทสะ)
และความไม่หลง (อโมหะ) จะถูกเก็บสั่งสมไว้ในภวังคจิต ทำนองเดียวกันกับแรงขับทางเพศ (sexual drives) แรงขับทางก้าวร้าว (aggressive drives)
อภิอัตตา (superego) และบางส่วนของสัญชาตญาณแห่งอัตตา (ego-instinct) ซึ่งรวมกันเป็นเนื้อหาที่สำคัญของจิตไร้สำนึกในทฤษฎีจิตวิเคราะห์1,22
|
| ขณะที่ 2 ปัญจทวารวัชชนจิต
|
ปัญจทวารวัชชนจิต(จักขุทวาราวัชชนจิต) เกิด เปรียบเหมือนยามเฝ้าประตู เมื่อเกิด ก็ทำ อาวัชชนกิจ
อาวัชชนกิจคือการทำกิจพิจารณาอารมณ์
ปัญจทวาราวัชชนจิตเป็น อเหตุกกิริยาจิต
|
| ขณะที่ 3 - จักขุวิญาณ(จิต)
|
จิต (mind) ในพระอภิธรรมหรือพุทธจิตวิทยา (Buddhist psychology) เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ 5 ที่เรียกว่า กองวิญญาณ (conciousness) คำว่า “วิญญาณ” หมายถึงธรรมชาติที่รู้อารมณ์ (สิ่งเร้า) ที่เกิดขึ้นทางทวารทั้ง 6 (ดูรายละเอียดเรื่องวิญญาณในขันธ์ 5)
(จักขุปสาท มีวจนัตถะว่า จกฺขุวิญญาณธิฏฺฐิตํ หุตฺวา
สมวิสมํ จกฺขติ อาจิกฺขนฺตํ วิย โหตีติ = จกฺขุ รูปใดเป็นที่ตั้งแห่งจักขุวิญญาณ)
จักขุวิญาณ(จิต) เกิดต่อ เราก็เรียกจิตดวงนี้ว่า กริยาจิต
เมื่อวิถีจิตดับ ภวังคจิตที่คอรักษาภพชาติเกิดคั่นทุกครั้ง
เราเริ่มโยนิโสมนัสสิการเข้าหาตัวเอง ณ ตรง มโนทวาราวัชชนจิต ดวงนี้
ซึ่งทำอาวัชชกิจเฉพาะทางมโนทวารทวารเดียว
เรากำหนดจิตให้ตั้งอยู่ในจิต เช่นเมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ไม่คิดปรุง ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่คิดปรุง ดังนี้
เป็นต้น (ไม่คิดปรุงหมายความว่า ไม่ให้จิตเอนเอียงไปในความเห็นดีชั่ว)
ตัวอย่าง ขณะเห็นหญิงชรา(รูป) ไม่ใช่รู้ว่า เป็น "หญิงชรา" ที่จักขุทวาร เรารู้เพียงแค่รูปารมณ์
รูปารมณ์ อันได้แก่คลื่นของแสงสะท้อนจากภาพมากระทบกับจักขุประสาทตาของเรา ก็หาใช่ว่า คลื่นของแสงที่สะท้อนดังกล่าว จะสะท้อนรูปนั้นมาทั้งหน้าและตัวของของ "หญิงชรา" โดยทันทีพร้อมกันก็หาไม่
หากแต่จะสะท้อนมาทีละส่วนๆ เช่น ตา จมูก ปาก แก้ม หู ลำตัว เป็นต้น โดยรวดเร็ว
เรารู้แจ้งว่าเป็นหญิงชราที่มโนทวารวิถี ว่าขันธ์ ๕ ได้ถูกกระทบด้วยความชรา
โยนิโสมนัสสิการเข้าหาตัวเราว่า รูปนั้น ไม่เที่ยง แม้ชาตินี้ หรือชาติก่อน หรือชาติหน้า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
สภาพธรรมของสติเกิดขึ้น ก็ทำกิจของสติ
*** สติระลึกรู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นแต่เพียงเห็นนิมิต(ไม่ใช่จริง) ซึ่งเป็นเครื่องหมายของธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมกัน หรืออาจพูดได้ที่เห็นนั้นเป็น อนัตตา (ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เรา เขา เพราะจิตมีการเกิดดับตลอดเวลา)
แหล่งที่มาในพระธรรม :
- อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
|
ลำดับการเกิดขึ้นของวิถีจิตทางมโนทวารซึ่งเกิดสืบต่อจากปัญจทวาร (โดยปกติ ใน 1 วาระ มี 12 ขณะจิต)
ภวังคจลนะ
ภวังคุปัจเฉทะ
มโนทวาราวัชชนะ
มโนวิญญาณ
ชวนะ
ชวนะ
ชวนะ
ชวนะ
ชวนะ
ชวนะ
ชวนะ
ตทาลัมพนะ
ตทาลัมพนะ
สำหรับวิถีจิตทางใจ (มโนทวาร) ไม่ต้องเริ่มที่ อตีตภวังค์ เพราะเวลาที่นึกคิดถึงสิ่งใดทางใจ หรือรับรู้อารมณ์ต่อจากทางปัญจทวาร ก็มีการนึกคิด รับรู้ เกิดขึ้นได้ทันที โดยที่ภวังคจิตนั้นเริ่มไหว (ภวังคจลนะ) จากนั้น ภวังคจิตดวงต่อไป (ภวังคุปัจเฉทะ) ก็ตัดกระแสภวังค์ ส่งให้วิถีจิตทางใจเกิดขึ้นนึกคิด รับรู้ ทางใจ ดังนั้น ภวังคุปัจเฉทจิต จึงเป็น มโนทวาร คือทางที่ให้เกิดการรับรู้ด้วยใจนั่นเองอ่ะคับ
แหล่งที่มาทางธรรม :
http://www.watkoh.com/forum/showthread.php?2913-สงสัยเรื่องมโนทวารคะ
|
สัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วยจิต(จักขุวิญญาณ)
ทุกข์มี 2 อย่าง ; ทุกข์ทางกาย (อเหตุกจิตดวงเดียว) เมื่อกรรมใดให้ผล เพราะอกุศลกรรม(ได้เคยทำ)ที่เป็นปัจจัย
ส่วนทุกข์ทางใจเกิดขึ้นเพราะกิเลส ถ้าดับ โทสะมูลจิต โทมนัสเวทนา ทุกข์ทางใจก็ดับ
ขณะโทมนัสเวทนา(ความไม่แช่มชื่น ไม่สบายใจ) เกิดขึ้นขณะนั้นเป็นอกุศลซึ่งจะมีโทสมูลจิต 2 เกิดขึ้นร่วมด้วย
เวลาที่ทุกข์เกิดขึ้น จะให้ใจเป็นสุขยาก นอกจากจะเป็นผู้เจริญสติปัฏฐาน 4 จริง ก็จะมีความสุขได้
*** ผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน 4 ก็จะโยนิโสมนัสสิการ เข้าหาตัว ทุกข์ที่เกิดก็จะถูกบริหารจัดการได้ทันครับ ***
|
|
ขณะที่ 4 - สัมปฏิจฉันนะ
|
คือ จิตที่เกิดขึ้นรับอารมณ์ต่อจากทวิปัญจวิญญาณ (การเห็น ฯลฯ)
|
ขณะที่ 5 - สันตีรณะ
คือ จิตที่เกิดขึ้นรับอารมณ์ต่อจากทวิปัญจวิญญาณ (การเห็น ฯลฯ)
จิตที่เกิดขึ้นรับอารมณ์มาจากสัมปฏิจฉันนะ ทำหน้าที่พิจารณาอารมณ์ทั้ง 5
อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงไป ในที่นี้จะหมายถึงการพิจารณาสิ่งที่เห็น
ขณะที่ 6 - โวฏฐัพพนะ
รับอารมณ์จากสันตีรณะ,
เป็นกิริยาจิตที่กระทำโวฏฐัพพนกิจ(ตัดสินอารมณ์)ทางปัญจทวาร
เป็นจิตที่กระทำทางให้ชวนจิต เกิดสืบต่อ
ถ้าโวฏฐัพพนจิตไม่เกิด ชวนจิตก็เกิดไม่ได้
โวฏฐัพพนจิต ที่เป็นมโนทวาราวัชชนจิตทำกิจ โวฏฐัพพนกิจ
เรียกว่า ชวนปฏิปาทกมนสิการ
ชวน ( แล่นไป ) + ปฏิปาทก ( บาทเฉพาะ ) + มนสิการ ( กระทำในใจ )
สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ อกุศลจิตหรือกุศลจิตก็เกิดต่อ
การที่อกุศลจิตหรือกุศลจิตจะเกิดต่อจากโวฏฐัพพนจิตนั้นย่อมเป็นไปตามการ
สะสมอกุศลและกุศลของแต่ละบุคคล
จิตดวงที่ ตัดสิน อารมณ์ซึ่งรับช่วงต่อมาจากสันตีรณจิต คือ
โวฏฐัพพณจิต ซึ่งเป็น มโนทวาราวัชชนจิต หรือจิตที่ทำหน้าที่เปิด
มโนทวาร นั่นเอง จิตดวงนี้เป็น กริยาจิต ดังกล่าวคือ เป็นกลไกธรรมชาติทางจิต
ที่ให้วิถีจิตเป็นไปตามจิตนิยาม(กฎธรรมชาติของจิต)
จิตดวงนี้มีบทบาทสำคัญคือ ตัดสิน ซึ่งหมายความว่า จะกำหนด
ประเภทของจิตที่จะทำหน้าที่ เสพอารมณ์ นั้นในอันดับต่อไป เช่น
ว่าจะเสพด้วยโลภมูลจิต โทสมูลจิต โมหมูลจิต หรือมหากุศลจิต
เป็นจิตที่สัมปยุท หรือ วิปยุท เป็นต้น
อโยนิโสมนสิการ (การคิดอย่างผิดพลาด) หรือ โยนิโสมนสิการ
(การคิดอย่างถูกทาง) เป็นเงื่อนไขสำคัญที่กำหนดแนวทางตัดสิน
ของโวฏฐัพพนจิตนี้
http://larndham.org/
ขณะที่ 7 - ชวนะ
ตามที่โวฏฐัพพนะได้ตัดสินและกำหนดมานั้นแล้ว
ชวนะ จึงหมายถึงการเสพอารมณ์ หรือ การเสวยอารมณ์นั่นเอง เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว
จะเป็นบุญหรือบาป กุศลหรืออกุศล หรือกิริยา ก็อยู่ที่ชวนะนี้เอง
มหากุศลญาณสัมปยุตต์
มหากุศลญาณสัมปยุตต์ เป็นชื่อของจิตประเภทหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นมีปัญญาเกิดร่วมด้วย
คือเป็นจิตที่ดีงามมีเจตสิกฝ่ายดีเกิดร่วมด้วยเป็นจำนวนมากเช่น ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ
อโลภะ อโทสะ ปัญญา เป็นต้น
ถ้าเป็นกุศลจิตที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็เรียกว่ามหากุศลญาณวิปยุตต์
ในการกระทำกุศลแต่ละครั้งนั้น
แต่ละท่านนี้ มีฉันทะต่างกัน มีวิริยะต่างกัน
แล้วก็มีปัญญาในระดับขั้นที่ต่าง ๆ กันด้วย.
แหล่งที่มาในพระธรรม :
- อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์
http://www.psychiatry.or.th/JOURNAL/v4337f.html
No comments:
Post a Comment